เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ ต.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะ เพราะธรรมะเป็นเรื่องของนามธรรม ธรรมะเป็นนามธรรม ทุกคนเลยยำได้ว่าเป็นนามธรรม พิสูจน์สิ่งใดไม่ได้ แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นนามธรรม แต่มีหลักเกณฑ์ไง คำว่า “มีหลักเกณฑ์” เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่แหวน

เวลาหลวงปู่แหวนท่านพูดจบขึ้นมาท่านบอกว่า “มหา มีสิ่งใดให้ค้านมา”

แต่หลวงตาบอก “ไม่หรอกครับ ผมหาฟังเทศน์อย่างนี้แหละครับ”

ผมหาฟังของอย่างนี้เพราะมันมีหลักเกณฑ์ หลักเกณฑ์เพราะอะไร หลักเกณฑ์เพราะมันมีในใจของหลวงตา เพราะหลวงตาท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน ท่านถึงฟังธรรมะของหลวงปู่แหวนออกไง แต่ท่านบอกเวลาคนไปหาหลวงปู่แหวนเขาจะไปเอา “เราสู้ๆ” คือจะไปเอาวัตถุไง จะไปเอาวัตถุ เอาสิ่งของ เอาต่างๆ

นี่ก็เหมือนกัน ฟังธรรมๆ ธรรมะเป็นนามธรรมๆ นามธรรมจนไม่มีสิ่งใดที่จับต้องได้เลยหรือ...มี จับต้องได้ชัดเจนด้วย เราบอกว่าสิ่งต่างๆ เป็นอนิจจัง วัตถุเป็นอนิจจัง แต่ความรู้สึกนึกคิดมันเป็นอนิจจังไหม

ความรู้สึกเรามันเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าวัตถุอีก ถ้ามันเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าวัตถุ วัตถุเราจะเห็นมันได้ วัตถุ สิ่งใดมันมีอยู่ มันแปรสภาพ วัตถุสิ่งใดคงที่บ้าง มันไม่คงที่หรอก แต่ความคิดเราล่ะ ความคิดเรามันเปลี่ยนแปลงมากกว่าอีก เปลี่ยนแปลงเร็วกว่าอีก แต่ความเปลี่ยนแปลงขนาดนั้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงแล้วมันเหลืออะไรล่ะ ถ้ามันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันจบไปแล้ว มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มันคิดจบไปแล้วมันควรจะจบสิ ทำไมมันเปลี่ยนแปลงไปแล้วเดี๋ยวมันเกิดขึ้นมาใหม่อีกล่ะ นี่มันเกิดขึ้นมาเป็นนามธรรม แล้วคนที่รู้เท่ารู้ทันมันจะจัดการเรื่องอย่างนี้ได้ ฟังธรรมๆ เพื่อหัวใจของเรานะ

ฉะนั้น สิ่งที่โยมมีน้ำใจ คนที่มีศรัทธามีความเชื่อ คนมาทำบุญกุศล น้ำใจนั้นมีค่าและยิ่งใหญ่นัก สิ่งที่มีเจตนามา สิ่งนั้นมีค่ามากแล้ว ถ้าจิตใจของคนที่สูงส่งพัฒนาขึ้นมาแล้ว เราแสดงออกด้วยน้ำใจของเรา ถ้าเราแสดงออกด้วยน้ำใจของเราด้วยเป็นวัตถุคืออาหาร สิ่งที่เรามีคุณค่าเราถวายแล้ว สิ่งนั้นเราได้แสดงน้ำใจของเราแล้ว นี่สิ่งที่แสดงน้ำใจนะ

วัตถุ ดูสิ คลังสินค้าๆ เขาต้องมีการบริหารจัดการของเขา คนที่เขาทำการค้าแล้วต้นทุนเขาสูง ระบบการจัดการของเขาไม่ดี ต้นทุนเขาสูงขึ้นมา เขาไปแข่งขันกับคนอื่นไม่ได้ เห็นไหม วัตถุมันเก็บยาก สิ่งที่เราหามาเป็นวัตถุแล้ว เพราะอะไร เพราะร่างกายมันต้องการอาหาร ร่างกาย ธาตุ ๔ ต้องการอาหารอยู่แล้ว อาหารของกายนี้ต้องการอยู่แล้ว เพราะสิ่งที่ดำรงชีวิตมันต้องมีอาหาร ๔

อาหารของวิญญาณาหาร อาหารของความคิดมันเป็นเรื่องเทวดา อินทร์ พรหม เป็นทิพย์ๆ มันเป็นทิพย์ แต่ของเราถ้าอาหารเป็นทิพย์เราก็นึกเองก็ได้ๆ อารมณ์ก็นึกได้ อารมณ์มันเป็นพิษ สิ่งที่เป็นพิษขึ้นมา มันนึกมามันก็เผาลนไง แต่เขามีบุญกุศลของเขา เขาเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขากินอาหารที่เป็นทิพย์ วิญญาณาหาร ของที่เป็นทิพย์ๆ มันเสร็จมา สำเร็จรูปมา นั่นมันเป็นทิพย์ แต่อารมณ์ของเรามันมีแต่สารพิษ มันมีแต่กรดมันกัดกร่อน ถ้ากัดกร่อน ยิ่งคิดมันก็ยิ่งทุกข์ ถ้ายิ่งทุกข์ เห็นไหม

คนเราเกิดมามีกายกับใจ ถ้ามีกายกับใจ หัวใจนี้ยิ่งใหญ่นัก หัวใจนี้ยิ่งใหญ่นักเพราะหัวใจปฏิสนธิ ปฏิสนธิในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะถึงมีกำเนิด แล้วถ้าไม่ปฏิสนธิมันอยู่ไหนล่ะ ถ้าไม่ปฏิสนธิมันก็อยู่ในวัฏฏะ อยู่ในวัฏฏะคือมันอยู่บนพรหม อยู่บนเทวดา อยู่ในนรกอเวจี มันก็เวียนว่ายตายเกิดไปประสามัน เพราะอะไร เพราะมันอยู่ที่เวรกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกรรมๆ

กรรมคือการกระทำ เพราะเราเกิดมาเป็นคนมันต้องมีอาหาร ๔ เกิดเป็นพรหมมีผัสสาหาร เป็นเทวดามีวิญญาณาหาร เกิดเป็นมนุษย์ กวฬิงการาหาร กับสัตว์เดรัจฉานที่มันต้องกินกันเป็นคำข้าว นรกอเวจี แล้วมโนสัญเจตนาหาร มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ เห็นไหม มโนก็ทำลาย ทำลายหมดแล้ว พระอรหันต์ทำลายมโน ทำลายตัวตน ทำลายทิฏฐิมานะ ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายสิ่งที่มีอยู่ มันถึงไม่มีอยู่ไง พระอรหันต์ถึงไม่มีจิต ถ้ามีจิตคือมีตัวตน มีตัวตนกิเลสมันก็ครอบงำไง มโนสัญเจตนาหาร เทวดา อินทร์ พรหม ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ คือว่าไม่มีๆ พระอรหันต์หมดแล้ว

มโนเจตนา มโนเจตนาตั้งมโนขึ้นมา ตั้งความรู้สึกขึ้นมาเพื่อจะสมมุติสื่อกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่นเขาก็ตกใจ “โอ๋ย! พระอรหันต์หมดไปแล้วมันมาอย่างไร”

พระอรหันต์หมดไปแล้วหมดอย่างไร ก็หมดแบบเรา หมดวิทยาศาสตร์ไง หมดแบบวัตถุไง ทุบมันทิ้งไง ทุบมันทิ้งแล้วมันก็ไม่มีไง ทุบมันทิ้งมันก็ยังคิดได้นะ

แต่ถ้าน้ำใจของเรายิ่งใหญ่นัก คนที่เป็นพาลเขาบอกว่า “น้ำใจยิ่งใหญ่นักก็นึกเอาสิ ไม่ต้องกินข้าว วัตถุไม่ต้องเอามาเลย” นั่นน่ะคนพาล คิดแบบพาล คิดแบบพาลว่า “น้ำใจยิ่งใหญ่ก็เอาแต่น้ำใจต่อกันสิ ไม่ต้องเอาอะไรเลย ก็มีแต่ความรู้สึกที่ดีๆ ต่อกัน”

ความรู้สึกที่ดีๆ ต่อกัน สิ่งนั้นดี มโนกรรม ถ้าไม่มีมโนกรรมมันจะเกิดคุณงามความดีมาได้อย่างไร สิ่งใดที่เกิดขึ้นมามนุษย์สร้างทั้งนั้นแหละ สิ่งที่เราไปเที่ยวทัศนศึกษาในโลกนี้มนุษย์สร้างทั้งนั้นแหละ สร้างมาจากมือทั้งนั้นแหละ กรรมาชีพเกิดจากมือของกรรมกร อยู่ที่คนมาหา นี่มันเกิดมาจากมนุษย์

แล้วถ้าสัจธรรมล่ะ สัจธรรมมันเกิดมาจากไหน ถ้าเกิดมาจากไหน ในเมื่อเราเกิดมา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์มีธาตุ ๔ และ ขันธ์ ๕ มีกายกับใจเราก็ต้องมีอาหารเลี้ยงดูมา ต้นไม้มันยังมีสารอาหารของมัน ต้องดูดสารอาหารของมัน มันถึงจะโตขึ้นมา มนุษย์โตขึ้นมาเพราะกินนมแม่

กินนมแม่สำคัญมากนะ กินนมแม่ ถ้าเป็นประสาเราบอกว่ากินเลือดของแม่ มันกลั่นมาจากเลือด เวลากินนมแม่นี่กินเลือดของแม่ ถ้ากินเลือดของแม่แล้วมาค้ำศาสนา เวลาบวช เห็นไหม เวลาลูกมาบวชทำไมพ่อแม่ได้บุญล่ะ? ก็เอาเลือดเนื้อเชื้อไขมาบวชไง เอาเลือดเนื้อเชื้อไขของเขามาค้ำศาสนาไง พ่อแม่ถึงได้บุญ ๑๖ กัป ๑๖ กัป เอาลูกมาบวช ลูกเป็นญาติกับศาสนา เพราะลูกเรามาบวชเป็นพระ ลูกเราเป็นพระ เราเป็นญาติศาสนาไง เพราะลูกเราก็เป็นพระ เราก็คิดถึงพระๆ

บวชเป็นพระมา บวชเป็นพระขึ้นมาได้อย่างไร? บวชเป็นพระด้วยญัตติจตุตถกรรม เป็นวินัย วินัยพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ นี่เป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้กลับมาเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นญาติกับพระพุทธเจ้า

มันถึงว่า เวลาเติบโตมาต้องมีอาหาร คนเกิดมาต้องมีอาหาร มันไม่ใช่คนเซ่อ เห็นไหม ซื่อสัตย์ ซื่อเซ่อ เวลาซื่อ แหม! ศึกษาธรรมมาแล้ว แหม! เป็นคนดี ซื่อ...ซื่อบื้อ กิเลสมันลูบหัวเล่น ยังปฏิบัติธรรมอยู่นะ “โอ๋ย! ฉันนักปฏิบัตินะ” กิเลสมันลูบหัว นี่ซื่อ ซื่อเซ่อใช้ไม่ได้

ซื่อสัตย์สุจริต ซื่อมีสติปัญญา เราต้องมีสติปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา เกิดมาเรื่องอาหาร ปัจจัยเครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูพระบวชสิ จะเป็นญาติกับศาสนาแล้วยังบอกปัจจัย ๔ นะ บาตร นี่บาตรของใคร อามะ ภันเต ของผมครับ บาตรนี้คืออาหาร บิณฑบาตเลี้ยงชีพ นี่ผ้าไตรจีวรของใคร ของผมครับ ไม่ได้ยืมใครมา ไม่ได้ขอใครมา ของผมครับ ต้องสะอาดบริสุทธิ์ไง อามะ ภันเต คือของผมครับ อามะ ภันเต เห็นไหม

บวชมาก็มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม รุกขมูลเสนา อยู่เรือนว่าง ที่อยู่อาศัย น้ำมูตรคูถ น้ำมูตรน้ำคูถ น้ำหมักดองเป็นยารักษาโรค ปัจจัย ๔ พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธ พระพุทธเจ้าให้แสวงหา แต่แสวงหาด้วยความชอบธรรม

โยมแสวงหามาเพื่อชีวิตนะ โยมก็ทำหน้าที่การงานกัน พระบวชมาแล้วพระก็ต้องมีงานนะ งานของพระงาน ๒ ชั้น งานหนึ่งคือรักษาชีวิตนี้ไว้ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก-อุบาสิกาก็อยากได้บุญกุศลใช่ไหม เรามีหน้าที่การงานของเราใช่ไหม เช้าขึ้นมาหุงหาอาหารนะ ตักปากหม้อก็ใส่บาตรพระไป พระไม่ได้มีไร่มีนา พระไม่ได้ทำหน้าที่การงานของโลก

พระทำหน้าที่การงานของอริยสัจ พระทำงานด้วยไถ ด้วยขุด ด้วยปลูกหน่อของพุทธะ หน่อหัวใจ เราไม่มีสัมมาอาชีวะ แต่เราต้องเลี้ยงชีพ เราต้องเลี้ยงธาตุขันธ์เพื่อให้มีชีวิตเพื่อดำรงการปฏิบัติ เราก็ภิกขาจาร บิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เดินบิณฑบาตไป ใครมีศรัทธามีความเชื่อ เขาใส่บาตรก็เป็นบุญกุศลของเขา ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ สัมมาอาชีวะ เราก็เลี้ยงชีพของเราด้วยปลีแข้ง ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ใช่ไหม นี่ความสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่เลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะ

เลี้ยงชีพ เห็นไหม ปัจจัย ๔ พระยังต้องบิณฑบาต พระยังต้องหาอาหารเลี้ยงปาก เลี้ยงปากเสร็จแล้ว พอฉันอาหารของชาวบ้านเขาแล้ว ฉันอาหารเสร็จ ล้างบาตรเสร็จแล้วเข้าสู่โคนไม้ ผู้ที่ได้สมาธิก็เข้าสู่สมาธิ ผู้ที่ได้ปัญญาก็เดินปัญญา นี่งานของพระ งานของพระอะไรล่ะ จะล้างสารพิษไง ไอ้ความคิดที่เป็นพิษ ไอ้ความคิดที่มันกัดกร่อนหัวใจ ไอ้กรดที่เป็นพิษ ไอ้กรดอันนั้นไอ้ที่ว่าวิญญาณาหารๆ

วิญญาณาหารของเทวดาเขาเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขาเสวยภพชาติของเขาโดยสัจจะ โดยวัฏฏะ แต่ไอ้นี่มันไม่ใช่ ไอ้นี่มันเสวยเป็นมนุษย์ แต่มันก็มีความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดนี้มันเกิดจากไหนล่ะ? มันเกิดจากอวิชชา เกิดจากความไม่รู้ ทีนี้ความไม่รู้แล้วทำอย่างไรล่ะ? ก็มีวิชชาไง

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ส่องกล้อง ขยายเลย ธรรมะ พระพุทธเจ้าก็บอกสอนให้อนุปุพพิกถา ให้มีทาน ให้มีศรัทธามีความเชื่อ ก็ทำทุกอย่างหมดแล้วมันก็ยังทุกข์อยู่นี่ มันทำทุกอย่าง ทำทุกอย่างหมดเลย ทำบุญก็ไม่ได้บุญ นี่สารพิษ สารพิษมันกัดกร่อนหัวใจ

ทำดีต้องได้ดี โยนอาหารให้สัตว์ สัตว์ดุร้ายขนาดไหน ให้อาหารมันนะ มันรู้จักบุญคุณ สัตว์มันมองด้วยสายตานะ โอ๋ย! คนนี้มีคุณกับเราเนาะ มันซื่อสัตย์ เจอคนนี้ได้มันกระดิกหางเลยล่ะ มันขอบคุณ ขอบคุณครับ ขอบคุณอาหารมื้อนั้นครับ นี่มันยังขอบคุณ

มันไม่ดีตรงไหนล่ะ มันได้ แต่กิเลสมันอยาก มันอยากได้ พอทำบุญแล้วมันก็อยากให้สมความปรารถนา อยากจะเป็นพระอินทร์เลย อยากจะไปนั่งอยู่บนก้อนเมฆ ไอ้นั่นสุดวิสัย มันสุดวิสัย

บุญคือความสงบของใจ เห็นไหม เวลาเราทำหน้าที่การงานกันแล้ว วันเสาร์วันอาทิตย์เราไปพักผ่อน เราไปชายทะเล เราไปบนยอดภูเขา เราต้องการอากาศบริสุทธิ์ เราไปหายใจเอาอากาศเข้าปอด ชื่นใจ ชื่นใจ อะไรนั่นน่ะ? สุขไง บุญคือความสุขไง

ถ้าจิตใจมันมีสติมีปัญญานะ มันภูมิใจ เราให้อาหารสัตว์ เราไม่ได้เกิดเป็นสัตว์ เราให้อาหารสัตว์ สัตว์มันได้กินอาหารของเรามันขอบคุณๆ เรา ถ้าเราเกิดเป็นสัตว์ เราจะทุกข์ยากกว่านี้ เราต้องใช้เท้าของเราคุ้ยเขี่ยหาอาหารกินเอง จะต้องล่าเพื่อประโยชน์กับปากของเรา สัตว์มันเกิดมามันทุกข์ยากกว่าเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีศักยภาพ เรามีปัญญา เรามีโอกาสได้ให้อาหารสัตว์ เป็นสุขไหม นี่ปัญญามันเกิดไง นี่ไง บุญตรงนี้ไง บุญมันได้หรือยังล่ะ? มันได้แล้ว

เขาให้อาหารสัตว์ เขามีความคิด เขาก็ได้บุญนะ ไอ้เราก็ให้อาหารสัตว์ เอ๊ะ! ทำไมไม่ได้บุญเลยวะ เฮ้ย! ทำบุญไม่ได้บุญว่ะ แล้วเอ็งได้ให้อาหารสัตว์หรือเปล่าล่ะ? ให้ แล้วคนอื่นเขาก็ให้ แต่ทำไมเขาได้บุญล่ะ

เขาได้บุญเพราะเขามีปัญญา เขามีความรู้สึกนึกคิด แล้วเขามีความสุข เราก็ให้อาหารสัตว์เหมือนกัน แล้วเราก็เรียกร้องนะ ให้อาหารสัตว์แล้วอยากได้รางวัลที่หนึ่ง ให้อาหารสัตว์แล้วอยากจะเป็นเทวดา นี่ค้ากำไรเกินควร

เขาบอกว่าทำบุญแล้วค้ากำไรเกินควร...ไม่

ในสมัยพุทธกาลทุคตะเข็ญใจอยากจะบวชมาก จะไปบวชที่ไหนไม่มีใครให้บวชเพราะเป็นคนจน เวลาเรื่องนี้ร่ำลือไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์เลย “ทุคตะเข็ญใจคนนี้เขาอยากบวช ทำไมไม่มีพระบวชให้เขา ทุคตะเข็ญใจคนนี้เคยมีคุณกับใครบ้าง”

พระสารีบุตรยกมือเลย “เคยมีบุญคุณกับกระผมครับ”

“มีบุญคุณอะไร”

“เขาเคยตักบาตรให้ข้าพเจ้า ๑ ทัพพีครับ“

เคยตักบาตรพระสารีบุตร ข้าว ๑ ทัพพี นี่มีบุญมีคุณกับคนที่มีปัญญา มีบุญมีคุณกับคนที่มีสติปัญญา “มีบุญคุณกับผมมากครับ”

“อย่างนั้นสารีบุตรเธอเอาไปบวช” เอาทุคตะเข็ญใจคนนั้นไปบวช บวชแล้ว คนทุกข์คนจน แล้วคนผู้เฒ่า ผู้เฒ่าเขาว่ามีทิฏฐิ เขามีประสบการณ์ทางโลกมามาก เขาจะถือว่าเขาเก่ง เขารู้ พระเด็กๆ จะมาสอนอะไรฉัน ฉันเป็นผู้ใหญ่ ฉันผ่านโลกมาเยอะ บวชผู้เฒ่านี่แก้ยาก

ฉะนั้น เวลาบวชแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระสารีบุตร “สารีบุตร สัทธิวิหาริกของเธอสอนยากไหม” เพราะโดยวัฏฏะ โดยกระแสวัฏฏะ โดยธรรมชาติเป็นอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยถามว่า “สารีบุตร สัทธิวิหาริกของเธอสอนยากไหม มีทิฏฐิมานะไหม”

“สอนง่ายครับ สอนง่ายครับ พูดอะไรก็เชื่อครับ ทำอะไรก็ทำตามครับ ทำทุกอย่างครับ”

นี่สอนจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ด้วยข้าว ๑ ทัพพี ข้าวทัพพีเดียว บุญคุณอันนั้นให้พระสารีบุตรเห็นคุณของเขา แล้วเอาเขาบวช แต่ไปขอบวชกับใคร ใครก็ไม่ให้บวช เพราะคนจน คนทุคตะเข็ญใจคือคนจนไม่มีผลประโยชน์กับเรา แต่มันมีบุญมีคุณกับผู้ที่จิตใจเป็นธรรม ข้าวทัพพีเดียวนั้นมันฝังอยู่กลางหัวใจของพระสารีบุตร เห็นไหม ได้บุญไหม

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นผล เป็นผลที่เป็นวัตถุๆ สิ่งที่เป็นวัตถุเป็นเครื่องแสดงออกของน้ำใจเนาะ เราเอาความยิ่งใหญ่ของหัวใจ เอาความยิ่งใหญ่ของความรู้สึกอันนี้ ฉะนั้น เรามาแสดงออกด้วยน้ำใจของเรา แต่มันเป็นวัตถุ มันเยอะ ฉะนั้น ทำอย่างไรล่ะ

มันอยู่ที่พระ พระเวลาเขาตักอาหารใส่บาตร เขาพิจารณาปฏิสงฺขา โยฯ เวลาบวชเป็นพระแล้วจะห่มผ้าก็ต้องปฏิสงฺขา โยฯ คือต้องระลึกบุญคุณของผ้า ผ้านี้ห่มเพื่อปกป้องความอับอาย ปกป้องกันริ้นกันไร ปกป้องความหนาวความเย็น จะฉันอาหารก็ต้องปฏิสงฺขา โยฯ อาหารนี้มันเป็นของเน่าของบูด อาหารนี้มันเกิดมาจากดิน ถ้ากินก็เท่ากับกินดิน มนุษย์ก็กินดินอยู่นี่ เพราะอาหารมันเกิดมาจากดิน พิจารณาแล้วให้มันสลดให้มันสังเวช

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าพระจะตัก ปฏิสงฺขา โยฯ คือว่าตักแล้ว ตักอาหารมาเป็นประโยชน์ไหม มันขี้โลภไหม ตักมา สิ่งที่ฉันแล้วมันเป็นพลังงานที่มาก เวลาไปนั่งสมาธิสัปหงกโงกง่วงไหม อันนี้มันเป็นสิทธิ์ของพระ เวลาพระจะตักอะไรใส่บาตร ถ้าตักใส่บาตรแล้วพระปฏิสงฺขา โยฯ จะฉันก็ยังต้องมีสติด้วย ฉันเพื่อดำรงชีวิต ถ้าเป็นข้าวเปล่าๆ ถ้าเป็นข้าวกับพวกผักพวกหญ้าเป็นอาหารเบา พอฉันเสร็จแล้วอิ่มหนำสำราญ พอไปนั่งภาวนาแล้วมันก็ไม่สัปหงกโงกง่วง เพราะมันไม่มีไขมัน เห็นไหม ปฏิสงฺขา โยฯ

อันนี้หน้าที่ของโยม บุญกุศลของเรา เราแสวงหาของเรา ก็เป็นของโยมนะ เวลาของพระเขามีงานต่อเนื่อง งานภาวนาต่อเนื่องกันไป ฉะนั้น สิ่งนี้เขาต้องบำรุงต้องรักษา ต้องมีสติ ถ้ามีสติตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ท่ามกลาง ตั้งแต่ที่สุด

ฉะนั้น ค่าของน้ำใจของโยมยิ่งใหญ่ ความปรารถนาการประพฤติปฏิบัติ ความปรารถนาเกิดศีล สมาธิ ปัญญาของพระก็ยิ่งใหญ่ ความยิ่งใหญ่ เห็นไหม สิทธิของบุคคล สิทธิของเรา สิทธิๆ

ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องมาปฏิสันถาร ต้องมาสัมผัสกัน ถ้าใครมีสติปัญญาแล้ว มันมองสิ่งใดให้ใช้ปัญญา ให้ใช้ปัญญาคิดใคร่ครวญ ทำไมท่านทำอย่างนั้น ทำไมท่านทำอย่างนั้น ท่านมีเหตุผลอะไร

เราทำอย่างนี้เราก็มีเหตุผลของเรา อู้ฮู! มาทุกข์มายาก มาตี ๔ ตี ๕ อู๋ย! อุตส่าห์อย่างดีเลย มาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ต้องเอาของหนูเยอะๆ สิ เอาเสร็จแล้วโยมกลับไปแล้วโยมก็ปลื้มใจเนาะ พระฉันเสร็จแล้วพระก็นอนตีแปลงเลยล่ะ เพราะไขมันมันเยอะ

แต่ถ้าโยมบอก โยมมาถวายพระแล้วพระก็ตัก น้ำใจได้แล้ว เราได้บุญกุศลแล้วนะ พระฉันแล้วพระไปภาวนา พระก็ อู้ฮู! ลงสู่สมาธิ จิตใจสว่างไสว เหมือนกับเราทำบุญกุศล แล้วคนเอาสิ่งที่เราต่อเนื่องไป ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าบุญนี้มีคุณประโยชน์ที่มีบุญมากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งเราฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วเราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน อีกคราวหนึ่งเราฉันอาหารของนายจุนทะแล้วเราถึงซึ่งขันธนิพพาน เห็นไหม ฉันอาหารของนางสุชาดา อาหารมื้อนั้น พลังงานอันนั้นทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุธรรม ตรัสรู้ธรรม อาหารมื้อนั้นมีคุณมาก

นี่ก็เหมือนกัน เราถวายอาหาร แล้วพระไปประพฤติปฏิบัติได้คุณธรรม ได้สิ่งต่างๆ ขึ้นมา บุญกุศลมันเกิดตรงนั้นน่ะ มันไม่ใช่ว่าเอาของหนูเยอะๆ เอาของหนูมากๆ แล้วหนูจะได้บุญเยอะๆ

น้ำใจ น้ำใจ นี่คุณธรรม ฟังธรรมๆ ฟังเพื่อเหตุนี้ไง ให้ใจเรามีคุณธรรมไง บุญเราได้ทำแล้ว แล้วให้เกิดปัญญาขึ้นมา มันจะเกิดความสงบความระงับ เกิดความสามัคคี เกิดความชุ่มชื่น แต่ถ้ามันเป็นกิเลส มันเป็นพิษนะ มันคิดน้อยใจหมดแหละ มันคิดไปเลยนะ โอ๋ย! นู่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา

เอา เอาหมดแหละ เอามาก เอาน้อย ตักมาก ตักน้อย ตักไว้เป็นน้ำใจ น้ำใจของเรา เรามีน้ำใจมา น้ำใจนั้นยิ่งใหญ่ ไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก มันมาไม่ได้ คนตายเขาเผา คนตายไม่เผาก็ฝังไว้ในหลุม ลุกขึ้นมาไม่ได้หรอก

แต่ถ้าความคิด ศรัทธาความเชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอริยทรัพย์ของมนุษย์ ถ้าไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อ จะไม่มีการขยับเขยื้อน เพราะมีศรัทธามีความเชื่อถึงได้ขวนขวาย ถึงได้ศึกษา ถึงได้มีการกระทำ มันยิ่งใหญ่

แต่ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้กาลามสูตร ต้องให้พิจารณา อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งเชื่อ แต่ศรัทธาตัวนั้นมันทำให้เข้ามาพิสูจน์ แต่เข้ามาพิสูจน์แล้วเราไปแยกแยะหาเหตุหาผลของเรา ถ้ามันเป็นความจริง นั่นล่ะปัจจัตตัง คือรู้จำเพาะตน รู้จำเพาะหัวใจของเรา รู้จากความรู้สึกอันนี้ขึ้นมา ความรู้สึกอันนั้นตีแผ่ออกมา มันจะกำจัดสารพิษ แล้วมันจะเป็นคุณประโยชน์ เกิดมรรคญาณ เกิดธรรมจักร เกิดสัจจะ เกิดภาวนามยปัญญา มันจะเป็นประโยชน์กับเรา

แล้วเราจะซาบซึ้งมากว่าสุตมยปัญญาเป็นอย่างไร จินตมยปัญญาเป็นอย่างไร แล้วภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร แล้วเราจะซาบซึ้งมากว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องแบกรับภาระกับไอ้พวกโง่ๆ ไอ้พวกเต่า ไอ้พวกที่ไม่เข้าใจเลย แล้วพัฒนาขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจ้ำจี้จ้ำไชๆๆ เราชาวพุทธ จะซึ้งมากเลย เพราะอะไร เพราะเราเคยโง่มาก่อนไง เมื่อก่อนกูก็โง่ฉิบหายเลย กูก็โง่อย่างนี้ แล้วกูมีปัญญาขึ้นมา อู้ฮู! อู้ฮู! แล้วไปดูคนอื่นสิ แล้วไปดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องมาคลุกคลี

หลวงตาท่านบอกว่าต้องมาคลุกขี้ คลุกขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงของพวกเราไง ตรงนี้ เราเห็นตรงนี้แล้วเราจะค่อยเข้าใจ ค่อยๆ ปรับความคิด ค่อยๆ ปรับความรู้สึก ค่อยๆ ปรับให้มันขึ้นมา มันจะพัฒนาขึ้นมา อันนี้จะเป็นปัญญาของเรา ถ้าเป็นปัญญาของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อหัวใจดวงนี้ เอวัง